วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

ความงามจากภายในจากเวทีมิสยูนิเวิร์ส



"เลล่า โลเปส" มิสยูนิเวิร์สคนล่าสุด นางงามผิวสีจากประเทศแองโกลา กลับเลือกความงามแบบธรรมชาติที่อยู่ภายใน มากกว่าการศัลยกรรมเลล่า โลเปส มิสยูนิเวิร์สคนล่าสุด วัย 25 ปี จากประเทศแองโกลา และสาวเชื้อสายแอฟริกันคนที่ 4 ที่คว้าตำแหน่งนี้ในรอบ 60 ปีที่ผ่านมา ที่ตอบคำถามในการประกวดว่า "ขอบคุณพระเจ้า ฉันพอใจกับทุกสิ่งที่ฉันเป็น และไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งใด ฉันยอมรับตนเองในฐานะผู้หญิงที่เพียบพร้อมด้วยความนามตามธรรมชาติที่อยู่ภายใน"ส่งให้ประสบความสำเร็จจนคว้าตำแหน่งมาครอง

สำหรับ เลล่า โลเปส เกิดในชุมชนผู้อพยพชาวเคปเวิร์ดในเมืองเบนกูเอล่า ประเทศแองโกลา ก่อนย้ายไปประเทศอังกฤษเพื่อศึกษาด้านการบริหารธุรกิจ ทั้งนี้ เลล่า โลเปส คว้ามงกุฎแรกจากเวทีประกวด Miss Angola UK เมื่อปี 2010 และประสบความสำเร็จครั้งใหญ่จากเวที Miss Angola ทำให้กลายเป็นตัวแทนของประเทศในการประกวดมิสยูนิเวิร์สครั้งนี้ ด้วยภาพลักษณ์อันแตกต่างทั้งมวยผมสูงสะดุดตา และรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยมิตรภาพ กลายเป็นความโดดเด่นที่ทำให้เธอเอาชนะผู้ประกวดจากอีก 88 ชาติในปีนี้

สตรีเชื้อสายแอฟริกันที่คว้าตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สได้แก่ จาเนล คอมมิสชัง สาวงามจากประเทศทรินิแดด แอนด์ โทเบโก เมื่อปี 1977 จากนั้นสาวงามจากหมู่เกาะแถบคาริบเบียนอย่าง เวนดี ฟิทซ์วิลเลียม ยังกลับคว้ามงกุฎได้อีกครั้งในปี 1998 และในปีต่อมา เอ็มปูเล คเวลาโกเบ้ ตัวแทนจากบอตสวาน่า แสดงไหวพริบในการตอบคำถาม กรณีนางงามจากกวมผู้ร่วมประกวดในปีนั้นถูกปลดเพราะข่าวลือเรื่องตั้งครรภ์ ที่เธอให้ความเห็นว่าทีมงานควรจะฉลองให้กับความเป็นเพศแม่แก่เธอมากกว่า คำตอบที่ดูคมคายครั้งนั้นทำให้เธอคว้ามิสยูนิเวิร์สไปครอง

ขณะที่เคล็ดลับเสริมสร้างความงามจากภายในที่ส่งให้มิสยูนิเวิร์สคนล่าสุด อย่าง เลล่า โลเปส ประสบความสำเร็จในวันนี้ คือ การนอนหลับให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้มาก และป้องกันผิวจากแสงแดด ทั้งนี้การศัลยกรรมเป็นสิ่งที่เธอปฎิเสธอย่างสิ้นเชิง เพราะสิ่งที่พิชิตใจผู้คนอย่างแท้จริงก็คือความเป็นธรรมชาติที่ส่งผ่านรอย ยิ้มที่จริงใจ และเสน่ห์ทางความคิดที่บ่งบอกความงามจากภายในอย่างแท้จริง


ที่มา news.thaipbs

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

ใจที่ไม่อ่อนแอ



มีเหตุการณ์มากมายที่ทำให้ใจเราอ่อนแอ

ท้อแท้ และสิ้นหวังที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามความต้องการ

ขอให้รู้และตระหนักไว้ว่ามันเป็นเพียงปรากฏการณ์

ที่เรามิอาจควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปตามที่ใจต้องการได้

แม้ว่าเราจะพยายามทำให้ดีจนสุดความสามารถแล้วก็ตาม

เพราะในบางครั้งมันต้องเป็นไปตามธรรมชาติที่ต้องเป็น

ตามเหตุผลและปัจจัยที่จะเกิด....ปล่อยมันไป

ปล่อยไป ปล่อยวาง ด้วยความเข้าใจ

เข้าใจว่า...มันเป็น อนิจจัง....ยึดไปก็....เป็นทุกข์

ควบคุม บังคับบัญชา สั่งการ ก็ไม่ได้ เพราะเป็น อนัตตา

ใจเราจะแข็งแรง และปล่อยวางได้โดยง่ายหากเราตระหนักรู้ถึง....

ความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา....

ที่เราต้องเจอในชีวิตประจำวันอยู่เนือง ๆ ตลอดไป

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

เหตุผลที่ควรยิ้ม ^__________^



           เมื่อเปรียบเทียบการยิ้มกับการแสดงสีหน้าแบบอื่น เช่น โกรธ เศร้า เคร่งขรึม วิตกกังวล ฯลฯ แล้ว จะพบว่า การยิ้มใช้กล้ามเนื้อใบหน้าน้อยกว่าการแสดงสีหน้าแบบอื่นมาก การยิ้มจึงเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า ใช้พลังงานน้อยกว่า และทำให้ใบหน้าดูดีกว่าการแสดงสีหน้าแบบอื่น ๆ ด้วย
แล้วรู้ไหมว่า เรา "ยิ้ม" เพื่ออะไรกัน
          - เพื่อให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าของคุณได้ทำงานซะบ้าง

          - ถ้าคุณยิ้มให้เขา มีหรือเขาจะไม่ยิ้มตอบคุณ

          - อย่างน้อยคุณจะได้ให้เขาช่วยเตือนว่ามีเศษผักสีเขียวมรกต ยังคงสนุกสนานในปากคุณ

          - การยิ้มเป็นการเริ่มต้นแห่งมิตรภาพที่ดีที่สุด

           -ถ้าคุณไม่ยอมยิ้ม แล้วใครจะได้เห็นล่ะว่า คุณมีลักยิ้มที่น่ารักที่สุด

          - เมื่อคุณทำผิดแล้วโดนจับได้ การแก้ตัวก็มีแต่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่การยิ้มเจื่อน ๆ แบบว่า แย่จัง!! คุณจะดูเหมือนพวกที่สำนึกผิด แล้วใครล่ะ จะกล้าโกรธคุณลง

          - ยิ้มสวย ๆ จะทำให้คนหน้าตาธรรมดา ๆ ดูดีขึ้นจนน่าประหลาดใจ

         -  การยิ้มในวันที่อ่อนล้า หรือเซ็งสุด ๆ ในชีวิต จะช่วยกระตุ้นให้คุณรู้สึกดีขึ้น

         -  ถ้าคุณพูดไม่เก่ง ลีลาไม่เด็ด ให้ยิ้มมาก ๆ เป็นการชดเชย

         -  รอยยิ้มเป็นสัญญาณบอกใคร ๆ ว่าคุณพร้อมจะเปิดใจแล้ว

          - ยิ้มดี ๆ เพียงครั้งเดียวดีกว่าคำพูดนับแสนคำ


ยิ้มเกิดขึ้นได้อย่าง
ไร
          รอยยิ้ม เกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อ 2 มัดใหญ่ คือ ไซโกเมติก เมเจอร์ ( Zygomatic major) ที่จะช่วยดึงมุมปากให้ยกขึ้นไปหาโหนกแก้ม และออร์บิคิวลาริส ออคิวไล (Orbicularis Oculi ) ที่จะช่วยดึงเนื้อแก้มและเบ้าตาให้ยกขึ้น
ยิ้มมีผลต่อร่างกายอย่างไร
          จากการศึกษาพบว่า เมื่อกล้ามเนื้อใบหน้าเคลื่อนไหวจนเกิดเป็นรอยยิ้ม จะส่งผลทำให้โลหิตแดงที่ไปเลี้ยงสมองมีอุณหภูมิลดลง จะทำให้เกิดความรู้สึกสบายและผ่อนคลาย ซึ่งจะตรงข้ามกับการทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ที่การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้าจะทำให้สมองมีอุณหภูมิสูงขึ้น และเกิดความรู้สึกไม่สบาย

          นอกจากนี้ ในขณะที่คนเรายิ้ม หัวใจจะเต้นช้าลง ความดันโลหิตลดลง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะผ่อนคลาย ต่อมหมวกไตจะทำงานน้อยลง ฮอร์โมนอะดรีนาลีน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดจะถูกขับออกมาน้อยลงด้วย การยิ้มจึงช่วยลดความเครียดได้

การยิ้มมีความสัมพันธ์กับความสุขอย่างไร
          เป็นที่สงสัยกันมากว่า คนเรามีความสุขแล้วจึงยิ้ม หรือยิ้มก่อนแล้วจึงมีความสุข ทำให้นักวิชาการต้องทำการศึกษาวิจัยในเรื่องนี้ให้ถ่องแท้ลงไป และผลที่ได้ก็พบว่าเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง นั่นคือ เมื่อคนเรารู้สึกมีความสุข เราจะแสดงออกทางสีหน้าด้วยรอยยิ้ม แต่ก็มีบางคนเหมือนกันที่ชอบเก็บกดอารมณ์ของตน เวลามีความสุขก็ยังพยายามบังคับสีหน้าให้ดูเคร่งขรึม ซึ่งต้องใช้กล้ามเนื้อใบหน้ามากกว่า เสียพลังงานมากกว่า และทำให้ไม่สามารถมีความสุขได้อย่างเต็มที่

          ในทางตรงข้าม แม้คนเราจะยังไม่รู้สึกมีความสุข แต่เมื่อยิ้มแล้วสักพัก จะรู้สึกว่าอารมณ์ดีขึ้นและมีความสุขได้เช่นกัน

แหล่งที่มา : กระทรวงสาธารณสุข

ผู้หญิงต้องการแค่นี้ในชีวิต


ผู้หญิงก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากมายในชีวิต
ก็แค่.....


แฟนไม่ต้องหล่อ มากมายไร ขอแค่นี้แหละพอแล้ว


แต่ในชีวิตจริง ได้แต่...
"ชีวิต แบบพอเพียง"

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

5 สิ่งที่ผู้หญิงมักแกล้งลืม

5 วิธีคิดให้ชีวิตไม่เครียด



  1. ทำใจให้เป็นสุข เราจะสุขหรือทุกข์นั้นอยู่ที่ความคิดของเราเป็นตัวกำหนด ถ้าเราตื่นเช้าขึ้นมาและบอกกับตัวเองในทุก ๆ เช้าว่า วันนี้เป็นวันดี ๆ อีกวันหนึ่ง ขอบคุณที่เรายังหายใจ ขอบคุณที่เรายังเดินได้ และยังมีแรงทำงาน ลุกจากที่นอนแล้วบอกตัวเราในกระจกว่า วันนี้จะเป็นวันที่ดี วันที่สดใสของเรา บอกกับ ตัวเองอย่างนี้ทั้งวัน จนเราเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง และให้มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ ความสุขจะเกิดขึ้นที่ใจของเราเอง ซึ่งทำให้เราทำงานด้วยความสุขตลอด ทั้งวัน แม้ว่าจะเจออุปสรรคปัญหานานาประการ แต่เราจะผ่านพ้นไปได้ด้วยทัศนคติดี ๆ ที่เรามี ช่วยเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีด้วยตัวของเรา และใจของเราเอง
  2. เติมเสียงหัวเราะในทุกสถานการณ์ ถึงแม้บางคราวเรารู้สึกว่ายากเหลือเกินที่จะทำใจให้สนุก นั่นเป็นเพราะเราเคร่งเครียดและจริงจังมากเกินไป ถึงเวลาแล้วที่เราต้องปลดปล่อยมันออกมา ยารักษาความเครียดที่ดีที่สุดคือเสียงหัวเราะ การมองเรื่องแย่ ๆ ในแง่บวก ยิ้มและหัวเราะให้กับเรื่องที่เราเจอ แทนที่จะปล่อยให้ตัวเองติดอยู่กับความทุกข์ จะช่วยให้เราผ่อนคลาย และรู้สึกดีขึ้น
  3. ใช้เวลากับสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์ การยึดติดกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์มาก ๆ ก่อนอื่นเราต้องยอมรับว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเราตามไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีก เปลี่ยนความหม่นหมองเป็นพลังผลักดันในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้เกิดประโยชน์จะดีกว่า ไม่เพียงแต่เราจะสามารถลดความวิตกกังวลได้แล้ว ยังช่วยให้เรารู้สึกดีกับความสำเร็จในครั้งใหม่อีกด้วย
  4. หยุดพักความคิด ถ้าเรารู้สึกว่า เราชักจะจมอยู่กับความผิดหวังความท้อแท้ ดิ่งลึกลงไปทุกทีแล้วล่ะก็ ควรจะหยุดพักความคิดสัก
    10 นาที หรือ 1 ชั่วโมง แล้วหันไปทำอย่างอื่นเพื่อดึงตัวเองให้หลุดออกจากปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้เราเกิดทัศนคติทางลบ เมื่อเราถอยออกมาจากเหตุการณ์นั้น ถอยออกมาเพื่อมองย้อนกลับเข้าไปใหม่ เราอาจเห็นทางออกของปัญหาที่รุมเร้าก็เป็นได้
  5. เตือนตัวเองด้วยข้อความให้กำลังใจ บนโต๊ะทำงานนอกจากเอกสารกองโตแล้ว อาจจะหากระปุกลูกอมบรรจุกระดาษม้วน ๆ ข้างในเป็นข้อความแทนความ รู้สึกดี ๆ จากครอบครัว จากเพื่อน หรืออาจเป็นข้อความจากที่อื่นที่เราประทับมาใส่ไว้ เมื่อไรก็ตามที่เรารู้สึกท้อแท้กับวันแย่ ๆ ให้หยิบข้อความขึ้นมาอ่าน ความรู้สึกดี ๆ จะถูกดูดซึมผ่านเข้าสู่จิตใจของเรา และทำให้เรามีรอยยิ้ม และมีกำลังใจขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
จำไว้อย่างหนึ่งว่าไม่มีใครสามารถกำหนดทัศนคติของเราได้ ตัวเราเท่านั้นที่จะเป็นคนทำให้ทุกอย่างดีขึ้นหรือแย่ลง ดังนั้นคิดบวกเอาไว้ดีกว่า เมื่อไรก็ตามที่เรารู้สึกแย่ ลองเปลี่ยนวิธีคิดแล้วชีวิตจะดีขึ้นเอง